ความหมายของ B2B และ B2C



  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ e-commerce 

E-Commerce มีชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” โดยความหมายของคำว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีผู้ให้คำนิยามไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีคำจำกัดความใดที่ใช้เป็นคำอธิบายไว้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีดังนี้

“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”

“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)

“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)

จากความหมายของ e-business กับ e-commerce จะเห็นได้ว่าสองคำนี้มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่อันที่จริงแล้วมีความหมายต่างกัน
โดย e-business สรุปความหมายได้ว่าคือการทำกิจกรรมทุกๆอย่าง ทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่า แต่ e-commerce จะเน้นที่การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนตเท่านั้น
จึงสรุปได้ว่า e-commerce เป็นส่วนหนึ่งของ e-business

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปภาพของ B2B และ B2C

ประเภทของ E-Commerce   

ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer – B2C)
คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น

ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป

ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer – C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น

ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G)
คือการประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com

ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C)
ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย

 

B2B ชื่อนี้คืออะไร……..

การตลาดธุรกิจ (B2B) หรือ Business-to-Business หมายถึง การที่ลูกค้า ซื้อสินค้าและบริการของเรา เพื่อนำไปผลิตต่อด้วยการเพิ่มคุณค่าให้เป็นสินค้าและบริการอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่นำไปอุปโภคหรือบริโภคเอง เช่น ซื้ออ้อยเพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำตาล เป็นต้น หรือ ร้านค้าปลีกสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทผู้ผลิตสินค้า เมื่อสต็อกสินค้าลดลงถึงระดับหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ผู้ซื้อและผู้ขายมักจะรู้จักกันล่วงหน้า และอาจทำเอกสารสัญญาที่เป็นกระดาษกันล่วงหน้า ดังนั้นความเสี่ยงที่เกิดจากการซื้อขายจะต่ำ

 

ส่วน B2C หล่่ะเป็นอย่างไร…….

 

B2C หรือ Business-to-Consumer หมายถึง การขายสินค้าไปยังผู้บริโภคทั่วโลกโดยตรง โดยบริษัทหรือองค์กรธุรกิจที่ขายด้วยวิธีนี้ จักตัดตัวกลาง ไม่ว่าเป็นผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย พ่อค้าส่ง และพ่อค้าปลีกออกหมด ทั้งนี้เพื่อต้องการทำกำไรได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถขายสินค้าได้ถูกลงด้วย เนื่องจากไม่ต้องแบ่งกำไรให้พ่อค้าคนกลาง

เมื่อทำการตลาดโดยมุ่งไปสู่ผู้บริโภค ต้องเน้นที่ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ แต่เนื่องจากผู้บริโภคมีความแตกต่างกัน พวกเขามีต้องการความหลากหลาย ดังนั้น ในขั้นตอนที่ 1 จึงต้องแบ่งกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการที่คล้ายๆ กัน ออกเป็นกลุ่มๆ (Segment) เพื่อเรียนรู้ ปัญหา และทางเลือกของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม

ขั้นที่ 2 คือ การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Target Market) เพื่อที่จะหากลุ่มผู้บริโภคที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีโอกาสมากที่สุดที่จะขายได้ โดยการวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม แล้วค้นให้พบว่ากลุ่มไหนมีความชอบและพึงพอใจสินค้าของเรามากที่สุด

ขั้นที่ 3 คือ การเลือกตำแหน่งในใจ ของกลุ่มเป้าหมาย (Position) เพื่อที่จะกำหนดจุดแข็งและข้อความที่จะสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย เช่น

รู้จัก (Awareness) สนใจ (Interest) อยากได้ (Desire) ตัดสินใจ ซื้อ (Action)

 

แล้วแตกต่างอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่าง B2B และ B2C เช่นในด้าน Target Audience , Marketing Drivers , Content Strategy และ Social Tools หากจะอธิบายเป็นตัวหนังสืออาจจะยาวไปสักหน่อย จึงขออธิบายด้วยภาพในรูปแบบของ Infographics เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่าย และมองเห็นภาพความแตกต่างของ B2B และ B2C ได้อย่างชัด

ขอบคุณอ้างงอิงจาก

http://www.Thaicommerce.org

https://yogl

ใส่ความเห็น